Home » » หัวใจ ฟ้าครามและความรัก

หัวใจ ฟ้าครามและความรัก

Penulis : mamnaka7 on วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556 | 21:38


หอบหัวใจหนี..
ยามนี้ไม่มีแม้แต่คนเคยชิดใกล้
มีเพียงเศษเสี้ยวของหัวใจ
ที่ถูกกัดกร่อนไปกับหยดน้ำตา
หนี..อยากจะหนีไปให้ไกลห่าง
แต่ไม่อาจหลุดพ้นความอ้างว้างนี้ได้
เพราะความเศร้ามันแทรกซึมอยู่ในหัวใจ
ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าไกล ก็ยังเหมือนย่ำเท้าไปในรอยเท้าเดิม..



หญิงสาวทอดสายตาที่มีแต่แววว่างเปล่าไปยังเส้นของฟ้า..ที่ซึ่งน้ำทะเลสีครามจดกับผืนฟ้ายามเย็นนั่นด้วยอาการเหม่อลอย

หล่อนพาตัวเองหนีมาถึงที่เมืองชายทะเลอันแสนเงียบสงบแห่งนี้ได้สามวันมาแล้ว หากแต่ดูเหมือนว่า เวลาและระยะทาง มันไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของหล่อนดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกผิดหวังระคนเจ็บปวด ยังคงรวดร้าวสุมประดังอยู่ในอก และคงสานต่อหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง แม้ว่ามันจะถูกปกปิดอยู่ภายใต้สีหน้าที่ชาเย็นของหล่อนก็ตาม..

"บู..ไปกับแม่เถอะลูก แม่ขอร้อง เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราที่โน่น ตามประสาแม่ ๆ ลูก ๆ ของเรากันนะลูกนะ"

เสียงสั่นเครือของมารดาเมื่อหลายวันก่อนหน้าที่หล่อนจะหนีมาถึงที่นี่ ยังคงตามติดเตือนอยู่ในสมอง มันเป็นเหมือนเสียงที่สะท้อนอยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้นอยู่ในความรู้สึก แม้ไม่มีภาพของคนพูดอยู่เบื้องหน้าก็ตาม

"คุณอย่าเห็นแก่ตัวให้มากนักเลยคุณพนอ ผมขอร้อง..ปล่อยให้ลูกได้ตัดสินใจเองบ้ิางเถอะว่าทางไหนจะดีที่สุดสำหรับแก"

"เอ๊ะ..คุณวิชาญ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ยายบูน่ะลูกสาวฉันนะ"

"แกก็เป็นลูกผมเหมือนกัน ต่อไปคุณจะไปบงการชีวิตใครก็เรื่องของคุณเถอะ แต่สำหรับชีวิตลูก..ผมขอ"

"พูดให้ดีนะคุณวิชาญ ฉันไปบงการอะไรชีวิตแก.." มารดาหล่อนเริ่มขึ้นเสียง แววขุ่นเคืองฉายวับขึ้นในในดวงตาอย่างไม่ซ่อนเร้น "..อย่าปรักปรำกันให้มากนักนะ เท่าที่ผ่านมาคุณก็ร้ายกับฉันมามากพอดูแล้ว เอาเวลาไปดูแลบ้านเล็กบ้านน้อยของคุณเถอะ อย่าให้เราแม่ลูกต้องมาทุกข์ทรมานกับคนที่ไม่รู้จักพออย่างคุณเลย ฉันจะไม่ยอมให้ลูกต้องอยู่กับพ่อที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างอย่างคุณเด็ดขาด"

"แล้วแม่อย่างคุณมีอะไรดีบ้าง วัน ๆ เอาแต่ออกงานสังคม ผลาญเงินเป็นว่าเล่น คุณไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำมั๊ง ว่าเงินที่ผมได้มาน่ะมันหามาได้ยากลำบากแค่ไหน ถ้าจะให้พูดกันตามส่วนแล้วนะ ลูกอยู่กับผมยังดีเสียกว่าจะให้ไปใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่กับคุณที่เมืองนอกด้วยซ้ำไป"

"ให้อยู่กับพ่อที่บ้างาน แล้วก็นึกถึงแต่ผู้หญิงอื่น บ้านช่องไม่เคยกลับอย่างคุณน่ะเหรอ ฮึ..ไม่มีทางซะหรอก"

บูชิตาน้ำตาคลอ..ได้แต่ก้มหน้านิ่ง ฟังถ้อยคำที่เหมือนสาดโคลนใส่กันของทั้้งบิดาและมารดา ซึ่งเพิ่งจะสิ้นสุดการเป็นสามีภรรยากันทางนิตินัยโดยสมบูรณ์เมื่อวานนี้ ด้วยหัวใจที่ปวด้าว

"ไปอยู่กับแม่เถอะบู..เชื่อแม่ เรายังมีอนาคตใหม่รออยู่ที่โน่น..นะลูกนะ..."

"ตัดสินใจให้ดีนะลูก พ่อรู้ว่าลูกจะตัดสินใจถูกว่าทางไหนจะดีสำหรับตัวลูกเองมากที่สุด"

"หนู...หนูขอตัวอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ยคะ" บูชิตาพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในอก..และนิ่งเงียบรอ จนกระทั่งทั้งคู่ยอมออกไปจากห้องด้วยท่าทีลังเล เพียงเท่านั้น..น้ำตาที่สะกดกลั้นเอาไว้เป็นนานจึงพร่างพรูลงมาไม่ขาดสาย

ใครจะรู้บ้างไหมหนอ..ว่ายามนี้หัวใจหล่อนเจ็บร้าวยิ่งนัก ไม่เคยนึกมาก่อนเลย ว่าครอบครัวที่เคยพร้อมหน้ากันทั้งพ่อแม่ลูก มีทั้งฐานะ ทรัพย์สมบัติและหน้าตาทางสังคม จะต้องมาปิดฉากลงด้วยสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้..

หากย้อนเวลากลับไปได้ บูชิตาก็อยากจะย้อนเวลากลับไปเป็นเด็ก..เด็กน้อย ๆ ในครอบครัวธรรมดา ๆ คนนึง ที่มีพร้อมทั้งความรักและความอบอุ่นของพ่อแม่ แม้ไม่มีเงินทองมากองท่วมหัว แต่ความสุขที่ได้ก็คงจะมากมีกว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่านัก

"พี่คะ...พี่เป็นอะไรเหรอคะ เย็นแล้วทำไมไม่กลับบ้าน.."

เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ ที่ดังแทรกขึ้นมาในโสตประสาท ดึงบูชิตาให้ตื่นจากภวังค์เศร้า หล่อนรีบกระพริบตาไล่ความอ่อนแอให้กลืนหายไปอยู่ในอก เหลือไว้แต่ความชืดชาก่อนจะหันหน้ามามองคนถาม..ซึ่งแอบมายืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

".....บ้านพี่ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกจ้ะ" บูชิตาตอบเด็กน้อยที่ยืนถือกระป๋องน้ำใบเล็กอยู่ใกล้ ๆ อดแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่มีเด็กเดินมาไกลจากผู้คนเช่นเดียวกับหล่อนขนาดนี้

"พี่มาเที่ยวเหรอคะ..." เด็กน้อยเอียงคอมอง "..อกหักมารึเปล่า ถ้าอกหักห้ามมานั่งดูทะเลคนเดียวนะคะ พี่ชายเค้าบอกหนูไว้"

..พี่ชายบอกไว้..บูชิตาเลิกคิ้วให้กับประโยคนั้น..ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้จะช่างจดจำมากกว่าเด็กวัยเดียวกันคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้ว อายุน่าจะแค่ 5-6 ขวบเท่านั้น

"ทำไมล่ะจ๊ะ"

"พี่บอกว่า..เดี๋ยวทะเลกวักมือเรียก ไม่ดีหรอก..ตกน้ำป๋อมแป๋มเลย" เด็กหญิงสั่นหัวพลางเบ้ปาก

"แล้วหนูล่ะ..บ้านอยู่ไหน ทำไมเดินมาไกลถึงตรงนี้"

"บ้านหนูอยู่หลังต้นมะพร้าวโน่นแน่ะค่ะ ตอนนี้พี่ชายเค้าหุงข้าวอยู่ หนูเบื่อก็เลยออกมาเล่นอ่ะ"

บูชิตามองตามมือเด็กน้อยที่ชี้ไปยังดงมะพร้าวเบื้องหน้า เลาะเลียบไปกับแนวหาดทรายสีนวล หล่อนจึงได้เห็นบังกะโลหลังเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่หลังทิวไม้

อ้อ..หรือว่าจะเป็นพี่น้องคู่นี้ ที่เป็นลูกของเจ้าของบังกะโลที่หล่อนมาเช่าอยู่อย่างที่คนดูแลบ้านพักบอกเอาไว้

"ถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็บอกคุณเอกได้นะครับ คุณเอกกับคุณหนูเล็กเค้าก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่อยู่บังกะโลหลังสุดท้ายทางโน้นแน่ะ..."

"...พี่ชายหนูเค้าหุงข้าวอร่อยนะ ทำไข่เจียวอร่อยด้วย..สอนหนังสือก็เก่ง ใจดีที่สุดในโรงเรียนเลยล่ะ..." เด็กน้อยยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วชวนคุยไม่เบื่อ

อ้อ..เป็นครูด้วยหรือ..บูชิตามองตามริมฝีปากน้อย ๆ ที่โอ้อวดถึงพี่ชายตัวเองด้วยความรู้สึกเนื่อย ๆ นาทีนี้หล่อยอยากจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังสักพัก ไม่มีพื้นที่ในสมองว่างพอที่จะรับรู้สิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวมากไปกว่านี้หรอกนะ

"..หล่อด้วยล่ะ..." สาวน้อยยิ้มจนตาหยี..พลางเอียงคอมองหล่อน "..พี่ก็สวย ไปเที่ยวบ้านหนูมั้ยคะ"

บูชิตาสั่นหน้าน้อย ๆ "..ไว้วันหลังนะจ๊ะ"

"ว้า หนูไม่อยากเดินกลับบ้านคนเดียวเลย เดี๋ยวโดนพี่ชายดุเอา หนูออกมาไม่ได้บอกพี่ด้วย พี่เดินไปส่งหนูหน่อยได้มั้ยคะ"

"แต่..."

เด็กหญิงก้มหน้าลง ใช้เท้าเตะทรายเหมือนไม่อยากกลับบ้านจริง ๆ และนั่นทำให้บูชิตาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"ก็ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง" ที่สุดหล่อนก็ใจอ่อนจนได้

"เย้ ๆ ดีใจจัง.." อาการกระโดดโลดเต้น พลางฉุดข้อไม้ข้อมือของเด็กน้อยให้หล่อนลุกยืนขึ้น ทำเอาบูชิตาแทบจะเซหลุน ๆ ตามไปด้วย ไม่นานนักหล่อนก็จูงมือเด็กน้อยมาส่งถึงที่หน้าบังกะโลหลังเล็ก

"ถึงแล้วจ้ะ พี่กลับก่อนนะ"

"เดี๋ยวสิคะ อยู่แป๊บนึงก่อน...."

"อย่าเลยจ้ะ ไว้วันหลังพี่มาเที่ยวใหม่ นะ"

"ไม่เอาอ่ะ..อยู่ก่อนนะคะ น๊า ๆ.." เด็กน้อยออกอาการงอแง จนบูชิตาชักลำบากใจ

"อะไรกันยายเล็ก"

กำลังจะอ้าปากปลอบเด็กน้อยอยู่เชียว จู่ ๆ เสียงเข้ม ๆ ของใครบางคนก็ทำเอาหล่อนแทบสะดุ้ง เพียงนาทีเดียว ร่างสูง ๆ เจ้าของเสียงดุ ๆ เมื่อครู่ก็เดินออกมาหน้าประตูบ้านพัก

บูชิตาใจหายวาบ...เมื่อเห็นใบหน้าคมคร้ามที่รกเรื้อไปด้วยหนวดและเคราของเขา..

"หนูพาพี่เค้ามาเที่ยวบ้านค่ะพี่ชาย..พี่คะ.....ข้าวติดผมบนปากแน่ะ" เด็กหญิงรายงานเสียงเจื้อยแจ้ว พร้อมกันนั้นก็บอกอาการผิดปกติบนใบหน้าของพีึ่ชายเสร็จสรรพไปด้วยในตัว

แม้จะใจคอไม่ดีกับภาพของชายหนุ่มตรงหน้า แต่บูชิตาก็อดหลุดยิ้มออกมากับศัพท์แสงที่เด็กหญิงเลือกใช้ไม่ได้

"เค้าเรียกว่าหนวด..หนวด.."

หล่อนเห็นเขาปัดออกเร็ว ๆ ด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ แต่ก็จับไม่ได้อยู่ดีว่าภายใต้หนวดเคราและใบหน้ายู่ยี่นั้น ซ่อนความรู้สึกเช่นไรไว้บ้าง

"เอ่อ..ฉันพาแกมาส่งน่ะค่ะ กำลังจะกลับแล้ว" บูชิตาแข็งใจอธิบายออกไป อยากจะเดินหนีไปจากที่ตรงนี้จะแย่

"ชวนพี่สาวกินข้าวบ้านเราด้วยนะคะ"

อ้าว..ไหงแบบนั้นล่ะ..บูชิตาก้มลงมองเด็กน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

"หยะ..อย่าเลยจ้ะ ไว้วันหลังเถอะ เอ่อ.."

"นะคะ..นะคะ..นะคะ...."

"ไว้พี่มา.........." พูดยังไม่ทันจบ เสียงอีกฝ่ายที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

"คุณคงเป็นแขกของที่นี่..เอาเป็นว่าถ้าไม่รังเกียจก็เชิญอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะครับ ยายเล็กแกไม่ค่อยมีเพื่อนมาเที่ยวบ้าน.."

"ฉัน เอ่อ..ฉัน..."

"พี่คะ..นะคะ..นะคะ..." เห็นแววตาของเด็กน้อยแล้วบูชิตาก็ใจอ่อนยวบ ที่สุดหล่อนก็เลยต้องจำใจต้องนั่งร่วมวงกับเขาจนได้ และนั่นเองกระมัง ที่เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ ระหว่างหล่อนกับเขา..ผู้ชายหน้าดุที่ยังอยู่ในวัยที่ไม่น่าจะปลีกวิเวกได้ลงคอคนนี้..

หล่อนรู้ว่าเขาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาได้ไม่นา่น และยังไม่คิดจะหางานทำในระยะนี้ เนื่องจากคุณพ่อของเขาซึ่งมีกิจการบังกะโลหลังเล็ก ๆ ที่นี่ ได้เอ่ยปากขอร้องให้อยู่ช่วยงานสักพัก และด้วยความเป็นคนที่ไม่อยากอยู่นิ่งเฉย เขาจึงใช้เวลาในช่วงที่ว่างอยู่ไปช่วยสอนหนังสือเด็กชาวเลหลาย ๆ คนที่พ่อแม่ไม่มีเงินทองจะส่งไปเรียนหนังสือที่เพิงหมาแหงนไม่ไกลจากบ้านพักของเขานัก จนพ่อแม่ของเด็กและตัวเด็กเองเรียกเขาติดปากว่าครู และเรียกเพิงหลังนั้นว่าโรงเรียน ที่สำคัญ..เขาเป็นครูทีครูหล่อที่สุด และใจดีที่สุดในโรงเรียนอย่างที่น้องเล็กบอกไว้จริง ๆ เนื่องจากเขาเป็น "ครู"เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีอยู่ใน"โรงเรียนเพิงหมาแหงน"หลังนี้..

"ผมกับน้องเล็กโตมากับพ่อน่ะ..ไอ้ลำพังผมไม่เป็นไรหรอกเพราะเป็นผู้ชาย พ่อจะเลี้ยงแบบปล่อย ๆ บ้างก็โตได้ด้วยตัวเอง ไม่มีปัญหา แต่ยายเล็กแกเป็นเด็กผู้หญิง ก็..คงมีบางเวลาที่จะอยากจะทำอะไร ๆ แบบที่ผู้หญิงเขาทำกันบ้าง แกถึงติดคุณแจแบบนี้ไง.."

ประโยคบอกเล่าของเขาเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจหล่อน

"แล้ว..คุณล่ะ.."

"คะ....."

"คุณไม่ไปเรียนเหรอ ผมเดาเอาว่า คุณคงยังเรียนไม่จบ"

"ฉัน..ดร็อปไว้น่ะค่ะ เหลืออีกปีนึงก็จะจบแล้ว" บูชิตาทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าสีครามเบื้องหน้า เกลียวคลื่นสีขาวซัดสาดเข้ามายังหาดทรายอย่างอ่อนโยน ลูกแล้วลูกเล่า..

"แล้วทำไมคุณถึงได้พักเรียนไว้ล่ะ อีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้วนี่"

"เผอิญฉัน..มีเรื่องที่จะต้องตัดสินใจให้ได้ซะก่อนน่ะ" หล่อนก้มลงมองเม็ดทรายที่ปลายเท้า และนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้ว่า..ยังมีอีกหลายเรื่องที่หญิงสาวไม่อยากพูด

"งั้นก็..คงเหมือน ๆ ผมล่ะมั๊ง ผมก็มีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจเยอะเหมือนกัน"

"ฉันก็แค่..กำลังกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่กำลังเจออยู่น่ะ"

ชายหนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมามองหน้าหล่อน "..แต่ปัญหาทุกปัญหามันก็มักจะมาพร้อมคำตอบเสมอนะ คุณรู้ใช่มั้ย"

.............

"พี่บูคะ..พี่บู...พี่ชายให้มาชวนพี่บูไปเดินเที่ยวค่า"

บูชิตายิ้มรับคำชวนของเด็กน้อย ซึ่งหมั่นแวะเวียนมาชวนไปทำโน่นทำนี่ด้วยกันอยู่บ่อย ๆ เกือบสองอาทิตย์แล้วสินะ ที่หล่อนใช้เวลาอยู่ที่บังกะโลหลัีงนี้

"วันนี้จะไปไหนกันดีล่ะ"

"ไปตรงชายหาดแถวโน้นแน่ะค่ะ ตรงนั้นมีเปลือกหอยเยอะเลยล่ะ หนูเตรียมกระป๋องไว้แล้ว นี่งายยย.." น้องเล็กชูกระป๋องสีสันแสบตาให้ดูพลางยิ้มเห็นฟันซี่เล็ก ๆ เรียงเป็นแถว..ไม่ถึงสิบนาทีถัดมา บูชิตาจึงได้มาเดินเคียงข้างเขา..โดยมีเด็กหญิงซอยเท้ายิบ ๆ นำไปข้างหน้า

"วันนี้ทะเลสวยจัง ฉันนึกไม่ออกเลย ว่าคนมองข้ามทะเลที่นี่ไปได้ยังไง ในเมื่อมันสวยแบบนี้"

"ผมดีใจที่อย่างน้อยมันก็สวยพอทำให้คุณยิ้มออก.." คนที่เดินเคียงข้างหันมายิ้ม

"ฉันเพิ่งนึกออกค่ะ ว่าบางทีการปล่อยวางและความว่างเปล่าก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน" บูชิตายิ้มตอบ

"พี่ชายคะ..แล้วถ้าพรุ่งนี้คุณพ่อมา เราจะออกมาเที่ยวข้างนอกกันได้ัอีกรึเปล่า" เด็กหญิงหันหลังวิ่งซอยเท้ากลับมาถาม

"ได้สิ..แต่วันนี้คงต้องรีบกลับก่อนเย็นนะ เพราะพี่จะกลับไปโกนหนวด" ชายหนุ่มหัวเราะพลางยกมือขึนลูบหนวดตัวเองแบบเสียดายเล็กน้อย

"อ้าว..ทำไมล่ะคะ"

"คือ..พ่อผมไม่ค่อยชอบน่ะ ท่านบอกว่าเราทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการและความไว้วางใจของคน แขกเหรื่อเห็นเข้าเขาคงรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไหร่"

บูชิตาหัวเราะ "..ให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ"

อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้บูชิตาหลุดปากออกไป อาจจะเป็นเพราะความอยากตอบแทนความมีน้ำใจของเขาบ้างกระมัง ดังนั้นเมื่อบ่ายแก่ ๆ มาถึง หล่อนจึงต้องมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อถือมีดโกนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ต่อหน้าเขา

"แน่ใจเหรอเนี่ย.." ชายหนุ่มดูแหยง ๆ แต่ก็นั่นล่ะนะที่ทำให้บูชิตานึกขำขึ้นมาซะล่ะมากกว่า

"ก็ลองดูค่ะ" บูชิตาตัดสินใจในนาทีนั้น เป็นไงเป็นกันสิน่า แต่เพราะความไม่เคยทำมาก่อนล่ะกระมัง ที่สุดเขาก็ได้แผลแรกจนได้

"โอ้ย.."

"อุ๊ย.." เกือบจะพร้อมกันกับที่เขาร้อง บูชิตาทิ้งมีดโกนลงกับพื้นแทบจะทันทีที่เห็นเลือดซึมออกมาจากแผลเล็กบาดเล็ก ๆ เหนือริมฝีปาก.."..ขะ..ขอโทษนะคะ เจ็บมากมั้ยเนี่ย.." หล่อนรีบลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาซับเลือดให้ หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาคมเข้าที่มองอยู่ ก็ทำเอาเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยซะอย่างนั้น

"เอ้อ..ฉัน..ฉันคงโกนหนวดไม่เก่งจริง ๆ น่ะค่ะ คุณ..คุณทำต่อเองได้ใช่มั้ย" หล่อนเสวางผ้าขนหนูลงบนโต๊ะใกล้ ๆ พลางหยิบโน่นหยิบนี่แก้เขิน รอจนกระทั่งเขาลุกขึ้นแล้วหยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นกับการโกนหนวดหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วนั่นล่ะ จึงหยุดอาการลุกลี้ลุกลนแบบไม่มีสาเหตุนั้นได้

ใจสั่น..บูชิตาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ..บ้าไปแล้วยัยบู..นี่หล่อนกำลังรู้สึกแบบไหนอยู่เนี่ย

"เย้ ๆ ๆ..พี่ชายหล่อเหมือนเก่าแล้ว " เสียงหนูเล็กหัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างดีใจ เมื่อชายหนุ่มกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาอีกหน

บูชิตาหันไปมองหน้าเขา หัวใจกระตุกวูบกับคนที่ยืนมองตอบกลับมาด้วยแววตายิ้มระยับ

"คงจะจำกันได้นะครับ แผลที่ฝากไว้ตรงนี้ยังอยู่เลย ไม่ใช่ตัวปลอมแน่นอนรับรองได้"

ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าจริงจังเหมือนเพื่อนคนเดิมที่บูชิตารู้จัก และนั่นก็ทำให้หญิงสาวลดอาการประหม่าลงได้อักโข

"แหม..เสียดายฝากไว้แผลเดียว ถ้าฝากไว้สักสองแผลน่าจะจำได้แม่นกว่านี้นะคะ" หล่อนเย้าเขาตอบ เล่นเอาคนฟังจุดยิ้มกว้างแล้วก็หัวเราะออกมาในที่สุด

"ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ มืดแล้ว"

"เดี๋ยวผมไปส่ง"

"หนูไปด้วย" น้องเล็กแทรกขึ้นมาอีกคน แต่ผู้เป็นพี่ชายกลับยื่นมือไปโคลงหัวเจ้าตัวเล็กเบา ๆ "..อย่าเลย มืดแล้ว พี่ไปคนเดียวก็พอ..พรุ่งนี้ค่อยไปชวนพี่บูไปเที่ยวกันอีก"

เด็กหญิงทำหน้าคว่ำไม่ชอบใจนัก แต่ก็ยอมพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี "..งั้นพรุ่งนี้คุณพ่อมาแล้ว เราออกไปเที่่ยวเกาะเหนือกันได้มั้ยคะ"

"ได้ ๆ "คำตอบรับของพี่ชายทำเอาผู้เป็นน้องยิ้มออก แล้วจึงหันไปสนใจการ์ตูนในทีวีต่อ

"แกน่ารักดีนะคะ" บูชิตาชวนคุยเมื่อเดินออกมาจากบ้านพักเขาแล้ว "..ฉันเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ถ้ามีน้องสักคน..บางทีอาจจะรู้สึกอบอุ่นกว่านี้..แต่ก็นั่นแหละค่ะ อย่างน้อยฉันก็ดีใจที่ฉันเลือกมาที่นี่ คุณรู้มั้ย..บางครั้งฉันก็นึกภาวนาให้เวลามันหยุดลงตรงนี้ ไม่มีตอนต่อไปไม่มีตอนที่แล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเวลาที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้"

"แต่มันก็เป็นไปไม่ได้.." ชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "..ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ตลอดไปหรอกครับ บางอย่างเมื่อมันผ่านเข้ามา มันก็จะผ่านออกไป ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์"

"คุณกำลังจะบอกอะไรฉันรึเปล่าคะ"

"ผมว่าบางทีการหนีก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ยิ่งเรากล้าหาญที่จะเผชิญหน้ามันได้ไวเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งผ่านเราไปได้ไวเท่านั้น.."

บูชิตาสบสายตาอบอุ่นที่ทอทอดกลับมาในแสงสลัว "..ไม่มีใครหนีอะไรได้ตลอดชีวิตหรอกครับ ชีวิตคนเรามันต้องเดินไปข้างหน้าเสมอ และบางครั้ง...เราก็ไม่ได้สู้อยู่คนเดียวอย่างที่เราคิด.."

.............

เสียงหวูดของรถไฟสายใต้ที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือดังก้องขึ้น..เมื่อเจ้ารถรางเหล็กเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาช้า ๆ..บูชิตานั่งอิงศรีษะซบลงกับของหน้าต่าง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนจะกอบเก็บกำลังใจและความทรงจำที่นี่ไว้ในส่วนลึก..ลมเย็น ๆ ที่หอบกลิ่นอายของทะเลพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานหนึ่งและผ่านออกไปจากหน้าต่างอีกบานอย่างรวดเร็ว หากแต่หญิงสาวก็รู้ดีว่า ไม่ว่าปัญหาที่หล่อนกำลังจะกลับไปเผชิญหน้าจะหนักหนาสาหัจเพียงไร แต่สักวันหล่อนก็จะกลับมาที่นี่ได้เสมอ...และหล่อนก็รอเวลาที่จะได้กลับมาพบเจอกับเจ้าของดวงตาอบอุ่นอ่อนโยนคู่นั้นอีกครั้ง..





เรื่อง : พัชราวลัย
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต















Share this article :
 
Design Template by panjz-online | Support by creating website | Powered by Blogger