Hot storys »
Bagikan kepada teman!

ฝันทีรอ ขอมีเธอ ตอนทีี่ 1

Penulis : mamnaka7 on วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556 | 06:24

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556




..เขามาแล้ว..

ในที่สุด เขาก็มาแล้ว..

เด็กสาวยืนหน้าเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองด้วยแววตาสดใส ยังกระจกเงาบานใหญ่อีกครั้งอย่างลวก ๆ

..ใครจะว่าหล่อนโม้ก็เถอะ แต่หล่อนจะขอบอกอยู่เดี๋ยวนี้นี่แหละ ว่าหล่อนจำเสียงฝีเท้าของเขาได้..ก็อ้ายเสียงลากฝีเท้าเบา ๆ บนพื้นไม้ที่ย่างกรายผ่านหน้าประตูห้องของหล่อนไปอย่างไม่แยแสนั่นแหละ..

"อ้าว..เฮ้ย ธันว์ มาเร็วดีนี่หว่า ดีเลยกูกำลังปวดหัวกับอ้ายรายงานบ้า ๆ นี่อยู่พอดี"

นั่นไงล่ะ นึกแล้วไม่มีผิด..

คนรอคอยอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงพี่ชายใหญ่บ๊งเบ๊งมาจากห้องข้าง ๆ ..และแน่ล่ะ ในเมือเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวหล่อนเพียงคนเดียว ที่เช้านอกออกในบ้านนี้ได้ตั้งแต่หล่อนอายุแค่แปดขวบ กระทั่งเดี๋ยวนี้หล่อนอายุย่างเข้าสิบหกแล้วเขาเองก็อายุเกือบ ๆ จะยี่สิบสองแล้ว มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น..เสียงกริ่งประตูรั้วหรือเสียงร้องบอกกล่าวล่วงหน้า จึงดูเหมือนว่าจะไม่เคยจำเป็นสำหรับเขา

เด็กสาวคว้าหนังสือเรียนเล่มโตมากอดไว้แนบอก

เอาล่ะ..เมื่อพระเอกมาแล้ว ก็ถึงคราวที่นางเอกจะได้ออกโรงบ้าง

"พี่โจ๊กขา..จาเข้าไปนะค้า.."

หล่อนร้องบอก เมื่อเดินดุ่มจากห้องตัวเองไปเคาะประตูห้องของพี่ชายใหญ่ซะก๊อกสองก๊อกแล้ว

"เออ.."

พร้อมกับคำว่า..เออ..นั่นกระมัง ที่จาริกาเปิดประตูผลัวะเข้าไปข้างใน พร้อมกับรอยยิ้มประจบเต็มวงหน้า

"แปลกแฮะ วันนี้อยู่บ้านได้ เสาร์อาทิตย์ทั้งที ไม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ รึไงฮึ..ยายจา" พี่ชายหล่อนเงยหน้าจากโต๊ะกลมกลางห้องขึ้นทัก ขณะที่คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ด้วยกันนั่น กลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับรู้ถึงการ "มา" ของหล่อนเลยสักนิด

"แหม..พี่โจ๊กก็ พูดอย่างกับว่าจาชอบออกไปเที่ยวข้างนอกซะเต็มประดางั้นแหละ ร้อนจะตายอ่ะ สู้อยู่บ้านอ่านหนังสือยังจะดีเสียกว่าอีก"

"โหย..ท่าทางฝนจะตกใหญ่หรือไม่ก็แล้งหนักก็อีคราวนี้แหละวะธันว์" พี่โจ๊กหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เหมือนอยากจะเชื่อลงแทบตายยังไงยังงั้น "..เอ้า แล้วนี่มีธุระอะไรกับพี่ก็ว่ามา"

"ธุระอะไรคะ"

"เอ๊า ก็ธุระอะไรเล่า ที่ทำให้เราต้องระเห็จมาหาพี่ที่ห้องเนี่ย"

"ใครบอกว่าจามีธุรกับพี่โจ๊กเล่า จาจะอ่านหนังสือของจาต่างหาก" หล่อนปรายตาไปมองเขาชั่วแว่บหนึ่ง.."นิ่ง"..อีกตามเคย จะสนใจกันสักนี๊ดด..ด..ก็ไม่มี ฮึ..สงสัยคงต้องให้ช้างมาเต้นระบำให้ดูอยู่ตรงหน้ากระมัง ถึงจะละสายตาจากอ้าายหนังสือปึกหนา่เล่มนั้นได้

"จะอ่านหนังสือ แล้วมาบอกพี่ทำไมล่ะ"

"ไม่ได้มาบอก แต่จาจะมาขออ่านหนังสือที่ห้องพี่ต่างหาก อ๊ะ ๆ ห้ามปฏิเสธนอ้งสาวสุดที่รักเด็ดขาดนะคะ เพราะตอนนี้ห้องจามันร้อนมากกก...แอร์มันเสียตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พี่โจ๊กก็รู้"

"เออ..รู้ แล้วทำไมไม่ไปอ่านที่ห้องไอ้โจ้กับไอ้แจ๊คล่ะ ห้องนั้นมันก็มีแอร์เหมือนกันนี่ จะมากวนพวกพี่ทำไม"

ว่าแล้ว..ว่าแล้วไง..ว่าถึงอย่างไรหล่อนก็จะต้องเจอกับไอ้อาการบ่ายเบี่ยงของพ่อพี่ชายใหญ่เข้าจนได้ พวกผู้ชายนี่ยังไงกันนะ ชอบเห็นผู้หญิงในครอบครัวเป็นส่วนเกินในวงสนทนาระหว่างผู้ชายด้วยกันเองอยู่เรื่อย..ฮึ..แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก กับสถานการณ์แบบนี้ หล่อนเองก็เตรียมท่าไม้ตายเอาไว้แล้ว

"แหม..ก็พี่โจ้กับพี่แจ๊คเค้าออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วนี่คะ.." ก็ไอ้ลูกอ้อนกับดวงตาปรอย ๆ ของหล่อนนี่แหละ ที่เคยใช้ได้ผลกับพี่ชายทั้งสามคนของตวเองมาแล้วเกือบทุกครั้ง "..แล้วจาก็ไม่อยากเปิดแอร์หลาย ๆ ตัวตอนกลางวันแบบนี้ด้วย พี่โจ๊กไม่เคยได้ยินเหรอคะ ว่ายุคนี้พ.ศ.นี้ คนไทยจะต้องเที่ยวเมืองไทย กินของไทย ใช้ของไทย ร่วมใจประหยัด จะช่วยชาติพัฒนา ช่วยต่อชีวาประชากรไทย ช่วยเพิ่มควาศิวิไลซ์ให้กิจสังคม ช่วยปลุกระดมประชาธิ......"

"เฮ้ย ๆ หยุด ๆ ๆ..ไม่ต้องพูดแล้ว พี่ยิ่งปวด ๆ หัวอยู่" พี่โจ๊กรีบยกฝ่ามืออรหันต์ขึ้นห้ามทัพ ก่อนที่จาริกาจะทันได้พล่าม เอ๊ย..พูดต่ออีกยืดยาว "..ตามใจ อยากอ่านที่นี่ก็อ่านไป แต่ต้องอย่าทำเสียงดังนะ ห้ามซน ห้ามรื้อโน่น รื้อนี่ แกะข้าวของเครื่องใช้พี่เด็ดขาด โน่..ไปนั่งข้างหน้าต่างโน่นเลยไป จะได้ใกล้หูใกล้ตาพี่หน่อย"

แหม..สั่งยังกะหล่อนเป็นเด็ก ๆ แน่ะ อยู่ต่อหน้า "เขา" ซะด้วย เสียฟอร์มชะมัด

จาริกาเบ้ปาก หากแต่ก็ยอมเดินไปยังจุด "เฉพาะกิจ" ที่พี่ชายอนุมัติ แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิมันตรงนั้น

เอาน่ะ..ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้หล่อนก็ได้ระเห็จเข้ามาอยู่ในห้องนี้อย่างที่ตั้งใจแวะ "วางแผน"ไว้แต่แรกเรียบร้อยละ

เด็กสาวทำเป็นกางหนังสือเรียนที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นอ่านอย่างสนใจ หากแต่สายตาก็กลับแวะเวียนไปมองเสี้ยวหน้าคมเข้มที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั่นเสียทุกบ่อย

หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา หน้าตาเขาแทบไม่เปลี่ยนเลยสักนิด หากแต่นิสัยนี่สิ ที่แทบผิดแผกไปจากเดิมเสียสิ้น

"ม่ายอ๊าว..จาจะไปด้วย ๆ พี่โจ๊กใจร้าย พี่โจ้ใจร้าย พี่แจ๊คใจร้าย แล้ว..แล้วพี่ธัีนว์ก็ใจร้ายด้วย ใจร้าย..ใจร้ายกันหมดเลย..แง้..."

จาริกายังจำได้ดี ถึงวีรกรรมความเอาแต่ใจของตัวเองเมื่อครั้งยังเด็ก..ยามนั้น หากใครคนใดคนหนึ่งหรือทั้งหมดของแก๊งค์ "สี่พี่ชาย"คิดจะหนีหายไปซุกซนที่ไหน ให้อย่างไร เด็กหญิงตัวน้อยก็ต้องขอตามติดวุ่นวายกับเขาไปซะทุกเรื่อง

"ชู้ว..ยายจานี่ พูดไม่รู้เรื่อง ก็จักรยานของเรามันไม่มีนี่นา" พี่โจ๊กซึ่งคราวนั้นเป็นถึงหัวโจกของกลุ่มตัดสินใจเสียงดุ

"จาก็ซ้อนพี่โจ๊กไปก็ได้นี่"

"ไม่เอา..จาชอบนั่งยุกยิก เดี๋ยวจักรยานล้มได้แผล คุณพ่อก็ดุพี่อีก"

"พี่โจ๊กก็ได้"

"..เฮอะ.." อีกฝ่ายสั่นหน้าพรืด

"งั้น...."

"พี่ไม่เอานะ..."

ยังไม่ทันจะได้บอก พ่อพี่ชายคนสุดท้องก็สั่นหน้าดิก เล่นเอาแม่คนขอน้ำตาร่วง

"แต่จาอยากไปนี่ จาอยากไป จาอยากเห็นปลาช่อนตัวโต ๆ ในสระนั่นอ่ะ..แง้...."

อยากร้องไห้แง ๆ ก็ร้องไปเถิ้ด..เพราะเผลอเพียงครู่เดียว จักรยานทั้งสี่คัน ก็ขี่สวิงสวายจากไปเสียตั้งไกลแล้ว

หาแต่แม่จอมแก่นแก้วก็ก้มหน้าบีบน้ำตาร้องไห้แง ๆ อยู่ได้ไม่นานนักหรอก เพราะรู้อยู่้ว่า ประเดี๋ยวเถอะ..หนึ่งในสี่ของจักรยานกลุ่มนั้นก็จะต้องวนกลับมารับหล่อนอีกจนได้ั

แล้วมันก็เป็นไปดังว่า...

"เอ้า..ขึ้นมา ชักช้าเดี๋ยวพี่ไม่ให้ไปด้วยนะ"

...เจ้าประจำ...ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ๆ เขาก็จะเป็นฝ่ายใจอ่อนกับหล่อนก่อนใคร ๆ เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ใช่พี่ชายร่วมสายโลหิตกันสักนิดออกคำสั่ง ก่อนที่คนที่ยิ้มเผล่เปื้อนน้ำตาไปทั้งหน้า จะตะกายขึ้นซ้อนท้าย ตามไปซนได้สมใจยั้นไหนต่อไหน..

จาริกายิ้มกริ่ม..เมื่อนึกมาถึงตรงนี้..

เมื่อไหร่กันหนอ ที่ไอ้เจ้าความรู้สึกดี ๆ ที่หล่อนมีต่อเขามันเปลี่ยนไป..เมื่อไหร่กันหนอ ที่ความอบอุ่นของหัวใจ ถูกก่อสานเติมเต็มขึ้นมาได้ด้วยภาพของผู้ายตรงหน้านี้..

"เอ้า..นั่งยิ้มอะไรอยู่ได้ หนังสือเรียนมันสนุกตรงไหนฮึ ยายจา"

เสียงของพี่ชายใหญ่ ทำเอาความคิดความฝันของหล่อนเป็นอันต้องสะดุด ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตามองหนังสือในมือตัวเองอย่างมีพิรุธ แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

..เอ๊ะ นี่มันหนังสือใครหว่า แล้วหล่อนเผลอไปคว้ามาแทนหนังสือเรียนของตัวเองตอนไหน..

"อ๋อ..คือ คือไม่ใช่หนังสือเรียนหรอกค่ะพี่โจ๊ก หนังสือ...."จาริกาพลิกดูชื่อเรื่องที่หน้าปก"..หนังสือเกี่ยวกับศิลปะน่ะค่ะ ชื่ออาร์ตคอนเลคชั่น 2012 ของใครก็ไม่รู้น่ะ แต่ภาพข้างในสวยดี จาชอบ"

"เฮ้ย ๆ งั้นวางเลย หนังสือพี่ เล่มนี้หาซื้อยากซะด้วย จะดูก็ดูเล่มอื่น"

"ก็เล่มอื่นมันไม่มีภาพอาร์ตสวย ๆ แบบนี้นี่คะ เอาน่ะ..จายืมดูหน่อยละกัน" หล่อนพลิกดูคร่าว ๆ..สวยจริง ๆ ด้วยแฮะ

"ไม่ได้ เดี๋ยวยับ"

"โธ่..ไม่ทำยับหรอกค่ะ รับรองได้"

"ไม่เอา วางเลยวาง นี่..ถ้าไม่วางเดี๋ยวพี่ให้ออกไปอ่านหนังสือข้างนอกนะ"

"วางก็ได้" หล่อนกระแทกเสียงเล็ก ๆ ชักจะงอนตุ๊บป่องขึ้นมาซะงั้น "..พี่โจ๊กนะพี่โจ๊ก ใจดำชะมัด จาออกไปอ่านหนังสือข้างนอกดีกว่า" ว่าแล้วหล่อนก็คว้าหนังสือลุกเดินปึงปังออกมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

จะว่าไป ทีแรกหล่อนก็โกรธพี่โจ๊กนั่นล่ะ ที่ขี้หวงชะมัด แต่ทำไปทำมาหล่อนก็พลอยนึกโกรธ "ใครอีกคน" ที่อยู่ด้วยกันในห้องนั่นขึ้นมาติดหมัด ที่ไม่มีทีท่าจะสนใจอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

ดูสิ..หล่อนโดนพี่โจ๊กแกล้งขนาดนี้แล้ว เขากลับไม่แยแสหล่อนเลยสักนิด

แล้วนี่หล่อนทำอะไรผิดหนักหนาหรือ เขาถึงได้ทำเฉยชา ไม่อยากหือไม่อยากอือกับหล่อนนัก..

นึกแล้่วก็ให้น้อยใจ จนแทบ..แทบอยากร้องไห้

"จา..ยายจา.."

กลับเข้ามานั่งจ่อมจมตัวเองด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธระคนน้อยใจอยู่ในห้องได้ไม่นานเท่าไหร่ เสียงใครบางคนก็มาเรียกกวนใจอยู่หน้าห้อง

"ไม่ต้องมาง้อเลยนะ จาโกรธจริง ๆ ด้วย" ว่าจะไม่ตอบแล้วเชียวนา แต่ที่สุดก็ต้องลุกไปกระชากประตูเปิด แต่พอเห็นหน้าคนเรียกจาริกาก็ต้องหน้าง้ำซ้ำสอง "..อ้าว พี่แจ๊คเองเหรอคะ"

"ก็เออสิ นี่ทะเลาะกับใครมาอีกล่ะสิ"

"ก็พี่โจ๊กอ่ะ จายืมหนังสือดูหน่อยเดียวก็ไม่ได้ คอยดูนะ จาจะไม่พูดกับพี่โจ๊กเลย..สิบวัน !!"

คนฟังหัวเราะหึหึ..ก่อนจะส่งซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่มาให้แม่น้องสาว

"เอ้า นี่..เมื่อกี้นี้พี่เดินเข้าบ้านมาเจอพี่ธันว์กำลังจะกลับเข้าพอดี เค้าฝากนี่มาให้แน่ะ ไปกวนอะไรพี่เค้าอีกล่ะเราน่ะ"

ฝากมาให้งั้นเหรอ..จาริการับซองหนัก ๆ นั่นมาถือไว้ในมือก่อนจะอุบอิบตอบ "เปล่าสักหน่อย"

ฮึ..พูดกับเราในห้องนั่นยังไม่พูดสักคำ ยังจะมีหน้าฝากอะไรมาให้อีกล่ะ

จาริกาแง้มซองสีน้ำตาลออกด้วยความอยากรู้...และเพียงชั่วครู่ ของสิ่งนั้นก็เรียกเอารอยยิ้มที่หายไปกลับคืนมาจนได้..

............

"ไงยะ..คุณหญิงจา วันนี้ทำไมมาแต่เช้าได้ล่ะเนี่ย แล้วนั่นถืออะไรมาด้วยน่ะ"

เด็กสาวตรงมาวางกระเป๋าหนังสือลงบนโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวางใกล้ ๆ กับเพื่อนสาว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งโดยที่ไม่ยอมละมือจาก "หนังสือเล่มนั้น"ออกจากอก

แหม..จะให้วางลงได้อย่างไร คนสำคัญของหัวใจให้ยืมมาขนาดนี้

"หนังสือศิลปะน่ะ" จาริกาตอบเพื่อนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม..ถึงจะเป็นหนังสือคนละเล่มกับที่อยากยืมพี่โจ๊กอ่าน แต่อย่างน้อย..เขาก็ยังให้หล่อนยืมเป็นการปลอบใจล่ะนะ

"หนังสือศิลปะ ??" แม่คนทักร้องเสียงหลง "ต๊าย นี่แกหันไปสนใจไอ้ศิลเปรอะ เอ๊ย..ศิลปะอะไรนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ"

"ก็..ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก แต่เล่มเนี้ยะ..คนสำคัญเค้าให้ยืมมาน่ะ" และนั่น..ก็คงหมายถึงหล่อนยังมีค่าในสายตาของเขาอยู่บ้าง แม้บางครั้งจะแอบรู้สึกเหมือนถูกทิ้งขว้างอยู่เสมอก็เถอะ

จาริการู้สึกอิ่มเอมอยู่ในอก

"ให้ฉันทายมั้ยล่ะว่าใคร.." ยายรสาทำท่านึก ก่อนจะผงกหัวหงึก ๆ เหมือนนั่งทางในเห็น "..อ้อ..ข้ารู้ ข้าเห็น คนสำคัญที่ว่าก็คือตาแก่ข้างบ้านที่อยู่ติดกะแกใช่ป่าวล่ะ"

"บ้า.." จาริกาหัวเราะ "แก่เก่ออะไรกัน เค้าอายุเท่าพี่โจ๊กแค่นั้นเอง" จาริกาหัวเราะ

"ว้าว ก้าวหน้านะแก..ไหน ยืมดูหน่อยสิว่าหนังสือแบบไหน ไม่ใช่หนังสือนู้ดนะ" ยายรสาอาศัยความไว ฉกหนังสือไปจากอกหล่อนจนได้

"โอ๊ะ.."

"โธ่เอ๊ยยย..ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย ก็มีแต่รูป ๆ ๆ งานศิลปะอะไรก็ไม่รู้ทั้งเล่มเลยน่ะ มันน่าสนใจตรงไหนว้า..อุ๊ย.."

พลิกหน้าหนังสือไปไม่เท่าไหร่ อะไรบางอย่างก็หลุดร่วงลงมาอยู่บนหน้าตักคนบ่น

"เฮ้ย..นี่มันรูปผู้หญิงนี่นา สวยซะด้วยอ่ะ..." ยายรสาคว้าขึ้นมาก่อนจะส่งต่อให้คนที่นั่งทำหน้าเหรอหราอยู่ใกล้ ๆ "...ใครน่ะจา แล้วทำไมพ่อพระเอกของแกถึงมีรูปของเค้าด้วย"

"........."

"นี่อย่าบอกว่าไม่รู้นะ หรือว่า..หรือว่าผู้หญิงคนนี้เป็น.." ยายรสาเกือบหลุดปากออกมา ดีแต่ทว่ายั้งไว้ได้ทันอยู่ "..เออ..เป็นเพื่อนไง คงเป็นแค่เพื่อนที่มหาวิทยาลัยเค้าแหละ แหม..แก..อย่าคิดมาก"

คนเดาร่ายยาวแบบเดาไปเรื่อย ด้วยหวังจะปลุกปลอบคนที่นั่งเงียบอยู่ตรงหน้า หากแต่ความรู้สึกของจาริกามันแกว่งไกวคิดไปไกลเสียนักหนาแล้ว

...............

(โปรดติดตามตอนต่อไป)









ความคิดเห็น | | Read More...

วัดความขี้หึงของหนุ่มทั้ง 12 ราศี (ราศีมังกร-ราศีมีน)




หนุ่ีมราศีมังกร (เกิดระหว่าง 22 ธ.ค.-19 ม.ค)

หนุ่มราศีมังกรนั้นขี้หึงไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวค่ะ ระดับคะแนนความขี้หึงของหนุ่มราศีนี้แตะอยู่ที่ 85 คะแนนเต็ม 100 เลยทีเดียว แม้พื้นฐานจะเป็นคนที่มีความอดทนสูง แต่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้เด็ดขาด สาวเจ้าคงต้องทนอึดอัดหน่อยล่ะ ถ้าคิดจะชายตามองหนุ่มอื่น เนื่องจากหนุ่มมังกรเป็นคนที่ตั้งใจจะไม่นอกใจคนรักจึงมุ่งหวังที่จะให้คนรักซื่อสัตย์กับตัวเองเช่นกัน ใครมีแฟนหนุ่มราศีนี้ ก็คงจะต้องเป็นคนที่จิตใจมั่นคงไม่โลเลง่ายน่ะนะคะ

หนุ่มราศีกุมภ์ (เกิดระหว่าง 20 ม.ค.-18 ก.พ.)

ระดับคะแนนความขี้หึงของหนุ่มราศีนี้มาที่โหล่เลยค่ะ มีอย่างที่ไหน ได้คะแนนความขี้หึงแค่ 50 คะแนนจาก 100 คะแนนเท่านั้น สาเหตุส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหนุ่มราศีนี้เกลียดการผูกมัดค่ะ จึงไม่ต้องการจะผูกมัดใครเหมือนกัน แต่แม้ว่าจะไม่ขี้หึงเท่าราศีอื่น แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับความผูกพันทางจิตใจนะคะ เพราะฉะนั้นเขาจึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟได้เช่นกัน หากเห็นแฟนสาวไปพูดคุยกับหนุ่มอื่น เล่นเอาคุณงงกับพ่อเจ้าประคุณเลยล่ะ

หนุ่มราศีมีน (เกิดระหว่าง 19 ก.พ.-20 มี.ค.)

โอ้โห..ไม่ใช่ย่อยเหมือนกันนะคะหนุ่มราศีนี้ เพราะได้คะแนนความขี้หึงถึง 90 คะแนนจาก 100 คะแนนเลยทีเดียว หนุ่มราศีนี้มักคิดมาก หากเห็นแฟนสาวไปทำท่าจี๋จ๋ากับหนุ่มอื่น เขาจะคอยซักไซร้ไล่เลียงด้วยความวิตกกังวล แต่ก็ไม่ได้โวยวายใส่คุณหรอก จะเป็นแบบหึงแรงหึงเงียบ เพราะฉะนั้นคุณสาว  ๆ ที่มีแฟนหนุ่มราศีนี้ ก็ต้องคอยถนอมน้ำใจเขาไว้บ้างนะคะ 



อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือวัยน่ารักแฟชั่น เล่มที่ 75
ภาพประกอบจากอินเตอร์ฺเน็ต

ความคิดเห็น | | Read More...

วัดความขี้หึงของหนุ่มทั้ง 12 ราศี (ราศีตุลย์-ราศีธนู)




หนุ่ีมราศีตุลย์ (เกิดระหว่าง 23 ก.ย.-23 ต.ค.)

หนุ่ีมราศีตุลย์นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นหุ่มที่ให้ความสนใจกับตัวเองมากกว่าอย่างอื่นค่ะ ดังนั้นระดับคะแนนของหนุ่มราศีนี้จึงอยู่ที่ระดับ 65 คะแนนจาก 100 เท่านั้น และเนื่องจากหนุ่มราศีนี้ฟอร์มจะค่อนข้างเยอะ ถ้าแฟนสาวไปทำท่าสนใจหนุ่มอื่น ก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมบางทีอวยพรให้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีก แต่ลึก ๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่สนใจเสียทีเดียวยังคงแอบร้อนรุ่มกลุ้มใจอยู่ด้วยเล็ก ๆ

หนุ่มราศีพิจิก (เกิดระหว่าง 24 ต.ค.-22 พ.ย.)

เอาคะแนนท็อปไปเลยค่ะ สำหรับความขี้หึงของหนุ่มราศีนี้ เปรียบเทียบกับหนุ่มราศีอื่นแล้ว ราศีนี้จะอาการหนักกว่าใครเพื่อน คือได้ระดับคะแนนถึง 99 คะแนนจาก 100 เลยทีเดียว หากแฟนสาวมีพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากล หนุ่ีมราศีนี้จะตกอยู่ในห้วงอาการของภาพหลอนกันเลยทีเดียว แม้ว่าจะเก็บไว้ในใจ แต่ก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ระวันระเบิดตูมขึ้นมาแบบรุนแรงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

หนุ่มราศีธนู (เกิดระหว่าง 23 พ.ย-21 ธ.ค.)

หนุ่มราศีนี้หึงไม่ค่อยเป็นค่ะ ระดับความหึงอยู่ที่ 65 เต็ม 100 พวกเขาจะไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิม ความขี้หึงก็เลยพลอยน้อยไปด้วย หนุ่มธนูมักจะไม่ชอบผูกมัดกับใครพอ ๆ กับที่ไม่อยากสูญเสียอิสรภาพองตัวเอง เขาจึงกลายเป็นพ่อพวงมาลัยลอยมาลอยไป จนบางครั้งแฟนสาวกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องหึงเสียเองน่ะนะคะ

ในครั้งหน้าของบล้อกรักเต็มร้อย เราจะมาดูระดับคะแนนความขี้หึงของหนุ่ม 3 ราศีสุดท้ายกันค่ะ



อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือวัยน่ารักแฟชั่น เล่มที่ 75
ภาพประกอบจากอินเตอร์ฺเน็ต





ความคิดเห็น | | Read More...

วัดความขี้หึงของหนุ่มทั้ง 12 ราศี (ราศีกรกฎ-ราศีกันย์)





หนุ่มราศีกรกฎ (เกิดระหว่าง 22 มิ.ย.-22 ก.ค.)

แม้ว่าหนุ่มราศีนี้จะดูอบอุ่นอ่อนโยนแถมยังใจดี แต่รู้ไว้เถิดค่ะ ว่าหนุ่มราศีนี้ขี้กังวลอยู่ไม่ใช่น้อยนะคะ แถมยังขี้หึงผิดคาด ด้วยคะแนน 90 คะแนนเต็ม 100 หากเขาสงสัยอะไรขึ้นมา เขาจะซักคุณละเอียดยิบเชียวล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะรักเพราะหวง ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็ทำตัวให้เขาอุ่นใจไว้จะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาโดนซักไซร้ไล่เลียงเอาน่ะนะคะ

หนุ่มราศีสิงห์ (เกิดระหว่าง 23 ต.ค-22 ส.ค.)

หนุ่มราศีนี้ มีคะแนนความหึงหวงอยู่ที่ระดับ 92 คะแนนเต็ม 100 ค่ะ เจ้าป่าราศีนี้แม้ว่าจะดูยโสอยู่ไม่น้อย แต่ก็ขี้หึงน่าดูอยู่เหมือนกัน พวกเขาชอบที่จะให้แฟนสาวอยู่ด้วยตลอดเวลา และถ้าเล็ดลอดสายตาไปเมื่อไหร่ หนุ่มสิงห์ก็จะเริ่มจินตนาการไปในทางร้าย ๆ สารพัดเลยเชียวล่ะ

หนุ่ีมราศึกันย์ (เกิดระหว่าง 23 ส.ค.-22 ก.ย.)

หนุ่มราศีนี้ค่อนข้างจะเป็นคนละเอียดอ่อนค่ะ คะแนนความขี้หึงพุ่งพรวดไปถึง 95 คะแนนเต็ม 100 เลยทีเดียว ดังนั้นหากเขาสงสัยพฤติกรรมคุณว่าจะนอกใจ เชื่อเถอะ ว่างานนี้คุณได้ถูกสอบละอียดยิบแน่ ๆ ดังนั้นหากคุณเป็นคนขี้รำคาญก็พยายามอย่าทำให้เขาระแวงนะคะ ไม่เช่นนั้นคุณจะเปลี่ยนสถานะจากแฟนไปเป็นจำเลยได้โดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว

ในตอนหน้าเรามาติดตามดูคะแนนความขี้หึงของหนุ่มราศีที่เหลือกันต่อนะคะ




อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือวัยน่ารักแฟชั่น เล่มที่ 75
ภาพประกอบจากอินเตอร์ฺเน็ต



ความคิดเห็น | | Read More...

วัดความขี้หึงของหนุ่มทั้ง 12 ราศี (ราศีเมษ-ราศีเมถุน)


เมื่อพูดถึงความขี้หึง หรือความห่วงหวง รู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแล้ว หลาย ๆ คนก็อาจจะนึกว่าอาการนี้จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายน่ะนะคะ แต่ใครจะรู้บ้างว่า ลองพ่อเจ้าประคุณบางรายเกิดอาการหึงขึ้นหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว บางทีโลกทั้งใบก็ระเบิดทิ้งได้เลยทีเดียว วันนี้บล็อกรักเต็มร้อยของเราจะหยิบเอาคะแนนความขี้หึงของหนุ่มทั้ง 12 ราศีมาฝากกันค่ะ เราลองมาดูกันนะคะ ว่าหนุ่มราศีไหนขี้หึงขั้นเทพกันบ้าง




หนุ่มราศีเมษ (เกิดระหว่าง 21 มี.ค.-19 เม.ย.)

หนุ่มราศีนี้ได้คะแนนความขี้หึงถึง 95 คะแนนเต็ม 100 ค่ะ เรียกว่ามีความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสูงมาก หากเห็นคุณแฟนไปคุยกับหนุ่มอื่น ก็จะต้องรีบดักคอไว้ก่อนเลยว่า "ชอบหมอนั่นใช่มั้ย" แรก ๆ ก็หึงแบบน่ารัก ๆ หน่อยล่ะนะคะ แต่พอนานวันเข้า ก็อาจจะหนักข้อถึงขั้นชวนทะเลาะเบาะแว้งกันเลยทีเดียว

หนุ่มราศีพฤษภ (เกิดระหว่าง 20 เม.ย.-20 พ.ค.)

หนุ่มราศีนี้ได้คะแนนน้อยกว่าหนุ่มราศีเมษค่ะ คือได้คะแนนรองมาแค่ 80 คะแนนเต็ม 100 เท่านั้นเอง แต่แม้ว่าจะไม่มากก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ขี้หึงนะคะ เพียงแต่เป็นการหึงแบบไม่ค่อยแสดงออก อาจมีอาการกัดฟันทนได้เล็กน้อย แต่คุณผู้หญิงก็อย่าได้ใจทอดสัมพันธไมตรีกับใครต่อใครไปทั่วล่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่ความอดทนสิ้นสุด หนุ่มราศีนี้ก็บ้าได้เอาการเลยทีเดียว

หนุ่มราศีเมถุน (เกิดระหว่าง 21 พ.ค-21 มิ.ย.)

หนุ่มราศีนี้ได้คะแนนความขี้หึงค่อนข้างน้อยค่ะ คือได้แค่ 55 คะแนนเต็ม 100 เท่านั้นเอง พวกเขาจะไม่ชอบแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของใคร ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ใครมาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเขา บางทีการแสดงออกของหนุ่มราศีนี้ก็ทำเอาสาว ๆ กลัวใจกันเลยทีเดียว ว่าเอ๊ะ..จริง ๆ แล้วเขารักเรารึปล่านะ เรียกว่าเฉยชาจนน้ำแข็งเรียกพี่กันเลยก็ว่่าได้

ในตอนหน้าของบล้อกรักเต็มร้อย เรามาดูระดับคะแนนความขี้หึงของหนุ่มราศีอื่น ๆ กันต่อนะคะ



อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือวัยน่ารักแฟชั่น เล่มที่ 75
ภาพประกอบจากอินเตอร์ฺเน็ต


ความคิดเห็น | | Read More...

หัวใจ ฟ้าครามและความรัก

Penulis : mamnaka7 on วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556 | 21:38

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556


หอบหัวใจหนี..
ยามนี้ไม่มีแม้แต่คนเคยชิดใกล้
มีเพียงเศษเสี้ยวของหัวใจ
ที่ถูกกัดกร่อนไปกับหยดน้ำตา
หนี..อยากจะหนีไปให้ไกลห่าง
แต่ไม่อาจหลุดพ้นความอ้างว้างนี้ได้
เพราะความเศร้ามันแทรกซึมอยู่ในหัวใจ
ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าไกล ก็ยังเหมือนย่ำเท้าไปในรอยเท้าเดิม..



หญิงสาวทอดสายตาที่มีแต่แววว่างเปล่าไปยังเส้นของฟ้า..ที่ซึ่งน้ำทะเลสีครามจดกับผืนฟ้ายามเย็นนั่นด้วยอาการเหม่อลอย

หล่อนพาตัวเองหนีมาถึงที่เมืองชายทะเลอันแสนเงียบสงบแห่งนี้ได้สามวันมาแล้ว หากแต่ดูเหมือนว่า เวลาและระยะทาง มันไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของหล่อนดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกผิดหวังระคนเจ็บปวด ยังคงรวดร้าวสุมประดังอยู่ในอก และคงสานต่อหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง แม้ว่ามันจะถูกปกปิดอยู่ภายใต้สีหน้าที่ชาเย็นของหล่อนก็ตาม..

"บู..ไปกับแม่เถอะลูก แม่ขอร้อง เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราที่โน่น ตามประสาแม่ ๆ ลูก ๆ ของเรากันนะลูกนะ"

เสียงสั่นเครือของมารดาเมื่อหลายวันก่อนหน้าที่หล่อนจะหนีมาถึงที่นี่ ยังคงตามติดเตือนอยู่ในสมอง มันเป็นเหมือนเสียงที่สะท้อนอยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้นอยู่ในความรู้สึก แม้ไม่มีภาพของคนพูดอยู่เบื้องหน้าก็ตาม

"คุณอย่าเห็นแก่ตัวให้มากนักเลยคุณพนอ ผมขอร้อง..ปล่อยให้ลูกได้ตัดสินใจเองบ้ิางเถอะว่าทางไหนจะดีที่สุดสำหรับแก"

"เอ๊ะ..คุณวิชาญ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ยายบูน่ะลูกสาวฉันนะ"

"แกก็เป็นลูกผมเหมือนกัน ต่อไปคุณจะไปบงการชีวิตใครก็เรื่องของคุณเถอะ แต่สำหรับชีวิตลูก..ผมขอ"

"พูดให้ดีนะคุณวิชาญ ฉันไปบงการอะไรชีวิตแก.." มารดาหล่อนเริ่มขึ้นเสียง แววขุ่นเคืองฉายวับขึ้นในในดวงตาอย่างไม่ซ่อนเร้น "..อย่าปรักปรำกันให้มากนักนะ เท่าที่ผ่านมาคุณก็ร้ายกับฉันมามากพอดูแล้ว เอาเวลาไปดูแลบ้านเล็กบ้านน้อยของคุณเถอะ อย่าให้เราแม่ลูกต้องมาทุกข์ทรมานกับคนที่ไม่รู้จักพออย่างคุณเลย ฉันจะไม่ยอมให้ลูกต้องอยู่กับพ่อที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างอย่างคุณเด็ดขาด"

"แล้วแม่อย่างคุณมีอะไรดีบ้าง วัน ๆ เอาแต่ออกงานสังคม ผลาญเงินเป็นว่าเล่น คุณไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำมั๊ง ว่าเงินที่ผมได้มาน่ะมันหามาได้ยากลำบากแค่ไหน ถ้าจะให้พูดกันตามส่วนแล้วนะ ลูกอยู่กับผมยังดีเสียกว่าจะให้ไปใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่กับคุณที่เมืองนอกด้วยซ้ำไป"

"ให้อยู่กับพ่อที่บ้างาน แล้วก็นึกถึงแต่ผู้หญิงอื่น บ้านช่องไม่เคยกลับอย่างคุณน่ะเหรอ ฮึ..ไม่มีทางซะหรอก"

บูชิตาน้ำตาคลอ..ได้แต่ก้มหน้านิ่ง ฟังถ้อยคำที่เหมือนสาดโคลนใส่กันของทั้้งบิดาและมารดา ซึ่งเพิ่งจะสิ้นสุดการเป็นสามีภรรยากันทางนิตินัยโดยสมบูรณ์เมื่อวานนี้ ด้วยหัวใจที่ปวด้าว

"ไปอยู่กับแม่เถอะบู..เชื่อแม่ เรายังมีอนาคตใหม่รออยู่ที่โน่น..นะลูกนะ..."

"ตัดสินใจให้ดีนะลูก พ่อรู้ว่าลูกจะตัดสินใจถูกว่าทางไหนจะดีสำหรับตัวลูกเองมากที่สุด"

"หนู...หนูขอตัวอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ยคะ" บูชิตาพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปในอก..และนิ่งเงียบรอ จนกระทั่งทั้งคู่ยอมออกไปจากห้องด้วยท่าทีลังเล เพียงเท่านั้น..น้ำตาที่สะกดกลั้นเอาไว้เป็นนานจึงพร่างพรูลงมาไม่ขาดสาย

ใครจะรู้บ้างไหมหนอ..ว่ายามนี้หัวใจหล่อนเจ็บร้าวยิ่งนัก ไม่เคยนึกมาก่อนเลย ว่าครอบครัวที่เคยพร้อมหน้ากันทั้งพ่อแม่ลูก มีทั้งฐานะ ทรัพย์สมบัติและหน้าตาทางสังคม จะต้องมาปิดฉากลงด้วยสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้..

หากย้อนเวลากลับไปได้ บูชิตาก็อยากจะย้อนเวลากลับไปเป็นเด็ก..เด็กน้อย ๆ ในครอบครัวธรรมดา ๆ คนนึง ที่มีพร้อมทั้งความรักและความอบอุ่นของพ่อแม่ แม้ไม่มีเงินทองมากองท่วมหัว แต่ความสุขที่ได้ก็คงจะมากมีกว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่านัก

"พี่คะ...พี่เป็นอะไรเหรอคะ เย็นแล้วทำไมไม่กลับบ้าน.."

เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ ที่ดังแทรกขึ้นมาในโสตประสาท ดึงบูชิตาให้ตื่นจากภวังค์เศร้า หล่อนรีบกระพริบตาไล่ความอ่อนแอให้กลืนหายไปอยู่ในอก เหลือไว้แต่ความชืดชาก่อนจะหันหน้ามามองคนถาม..ซึ่งแอบมายืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

".....บ้านพี่ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกจ้ะ" บูชิตาตอบเด็กน้อยที่ยืนถือกระป๋องน้ำใบเล็กอยู่ใกล้ ๆ อดแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่มีเด็กเดินมาไกลจากผู้คนเช่นเดียวกับหล่อนขนาดนี้

"พี่มาเที่ยวเหรอคะ..." เด็กน้อยเอียงคอมอง "..อกหักมารึเปล่า ถ้าอกหักห้ามมานั่งดูทะเลคนเดียวนะคะ พี่ชายเค้าบอกหนูไว้"

..พี่ชายบอกไว้..บูชิตาเลิกคิ้วให้กับประโยคนั้น..ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้จะช่างจดจำมากกว่าเด็กวัยเดียวกันคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้ว อายุน่าจะแค่ 5-6 ขวบเท่านั้น

"ทำไมล่ะจ๊ะ"

"พี่บอกว่า..เดี๋ยวทะเลกวักมือเรียก ไม่ดีหรอก..ตกน้ำป๋อมแป๋มเลย" เด็กหญิงสั่นหัวพลางเบ้ปาก

"แล้วหนูล่ะ..บ้านอยู่ไหน ทำไมเดินมาไกลถึงตรงนี้"

"บ้านหนูอยู่หลังต้นมะพร้าวโน่นแน่ะค่ะ ตอนนี้พี่ชายเค้าหุงข้าวอยู่ หนูเบื่อก็เลยออกมาเล่นอ่ะ"

บูชิตามองตามมือเด็กน้อยที่ชี้ไปยังดงมะพร้าวเบื้องหน้า เลาะเลียบไปกับแนวหาดทรายสีนวล หล่อนจึงได้เห็นบังกะโลหลังเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่หลังทิวไม้

อ้อ..หรือว่าจะเป็นพี่น้องคู่นี้ ที่เป็นลูกของเจ้าของบังกะโลที่หล่อนมาเช่าอยู่อย่างที่คนดูแลบ้านพักบอกเอาไว้

"ถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็บอกคุณเอกได้นะครับ คุณเอกกับคุณหนูเล็กเค้าก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่อยู่บังกะโลหลังสุดท้ายทางโน้นแน่ะ..."

"...พี่ชายหนูเค้าหุงข้าวอร่อยนะ ทำไข่เจียวอร่อยด้วย..สอนหนังสือก็เก่ง ใจดีที่สุดในโรงเรียนเลยล่ะ..." เด็กน้อยยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วชวนคุยไม่เบื่อ

อ้อ..เป็นครูด้วยหรือ..บูชิตามองตามริมฝีปากน้อย ๆ ที่โอ้อวดถึงพี่ชายตัวเองด้วยความรู้สึกเนื่อย ๆ นาทีนี้หล่อยอยากจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังสักพัก ไม่มีพื้นที่ในสมองว่างพอที่จะรับรู้สิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวมากไปกว่านี้หรอกนะ

"..หล่อด้วยล่ะ..." สาวน้อยยิ้มจนตาหยี..พลางเอียงคอมองหล่อน "..พี่ก็สวย ไปเที่ยวบ้านหนูมั้ยคะ"

บูชิตาสั่นหน้าน้อย ๆ "..ไว้วันหลังนะจ๊ะ"

"ว้า หนูไม่อยากเดินกลับบ้านคนเดียวเลย เดี๋ยวโดนพี่ชายดุเอา หนูออกมาไม่ได้บอกพี่ด้วย พี่เดินไปส่งหนูหน่อยได้มั้ยคะ"

"แต่..."

เด็กหญิงก้มหน้าลง ใช้เท้าเตะทรายเหมือนไม่อยากกลับบ้านจริง ๆ และนั่นทำให้บูชิตาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"ก็ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง" ที่สุดหล่อนก็ใจอ่อนจนได้

"เย้ ๆ ดีใจจัง.." อาการกระโดดโลดเต้น พลางฉุดข้อไม้ข้อมือของเด็กน้อยให้หล่อนลุกยืนขึ้น ทำเอาบูชิตาแทบจะเซหลุน ๆ ตามไปด้วย ไม่นานนักหล่อนก็จูงมือเด็กน้อยมาส่งถึงที่หน้าบังกะโลหลังเล็ก

"ถึงแล้วจ้ะ พี่กลับก่อนนะ"

"เดี๋ยวสิคะ อยู่แป๊บนึงก่อน...."

"อย่าเลยจ้ะ ไว้วันหลังพี่มาเที่ยวใหม่ นะ"

"ไม่เอาอ่ะ..อยู่ก่อนนะคะ น๊า ๆ.." เด็กน้อยออกอาการงอแง จนบูชิตาชักลำบากใจ

"อะไรกันยายเล็ก"

กำลังจะอ้าปากปลอบเด็กน้อยอยู่เชียว จู่ ๆ เสียงเข้ม ๆ ของใครบางคนก็ทำเอาหล่อนแทบสะดุ้ง เพียงนาทีเดียว ร่างสูง ๆ เจ้าของเสียงดุ ๆ เมื่อครู่ก็เดินออกมาหน้าประตูบ้านพัก

บูชิตาใจหายวาบ...เมื่อเห็นใบหน้าคมคร้ามที่รกเรื้อไปด้วยหนวดและเคราของเขา..

"หนูพาพี่เค้ามาเที่ยวบ้านค่ะพี่ชาย..พี่คะ.....ข้าวติดผมบนปากแน่ะ" เด็กหญิงรายงานเสียงเจื้อยแจ้ว พร้อมกันนั้นก็บอกอาการผิดปกติบนใบหน้าของพีึ่ชายเสร็จสรรพไปด้วยในตัว

แม้จะใจคอไม่ดีกับภาพของชายหนุ่มตรงหน้า แต่บูชิตาก็อดหลุดยิ้มออกมากับศัพท์แสงที่เด็กหญิงเลือกใช้ไม่ได้

"เค้าเรียกว่าหนวด..หนวด.."

หล่อนเห็นเขาปัดออกเร็ว ๆ ด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ แต่ก็จับไม่ได้อยู่ดีว่าภายใต้หนวดเคราและใบหน้ายู่ยี่นั้น ซ่อนความรู้สึกเช่นไรไว้บ้าง

"เอ่อ..ฉันพาแกมาส่งน่ะค่ะ กำลังจะกลับแล้ว" บูชิตาแข็งใจอธิบายออกไป อยากจะเดินหนีไปจากที่ตรงนี้จะแย่

"ชวนพี่สาวกินข้าวบ้านเราด้วยนะคะ"

อ้าว..ไหงแบบนั้นล่ะ..บูชิตาก้มลงมองเด็กน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

"หยะ..อย่าเลยจ้ะ ไว้วันหลังเถอะ เอ่อ.."

"นะคะ..นะคะ..นะคะ...."

"ไว้พี่มา.........." พูดยังไม่ทันจบ เสียงอีกฝ่ายที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

"คุณคงเป็นแขกของที่นี่..เอาเป็นว่าถ้าไม่รังเกียจก็เชิญอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะครับ ยายเล็กแกไม่ค่อยมีเพื่อนมาเที่ยวบ้าน.."

"ฉัน เอ่อ..ฉัน..."

"พี่คะ..นะคะ..นะคะ..." เห็นแววตาของเด็กน้อยแล้วบูชิตาก็ใจอ่อนยวบ ที่สุดหล่อนก็เลยต้องจำใจต้องนั่งร่วมวงกับเขาจนได้ และนั่นเองกระมัง ที่เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ ระหว่างหล่อนกับเขา..ผู้ชายหน้าดุที่ยังอยู่ในวัยที่ไม่น่าจะปลีกวิเวกได้ลงคอคนนี้..

หล่อนรู้ว่าเขาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาได้ไม่นา่น และยังไม่คิดจะหางานทำในระยะนี้ เนื่องจากคุณพ่อของเขาซึ่งมีกิจการบังกะโลหลังเล็ก ๆ ที่นี่ ได้เอ่ยปากขอร้องให้อยู่ช่วยงานสักพัก และด้วยความเป็นคนที่ไม่อยากอยู่นิ่งเฉย เขาจึงใช้เวลาในช่วงที่ว่างอยู่ไปช่วยสอนหนังสือเด็กชาวเลหลาย ๆ คนที่พ่อแม่ไม่มีเงินทองจะส่งไปเรียนหนังสือที่เพิงหมาแหงนไม่ไกลจากบ้านพักของเขานัก จนพ่อแม่ของเด็กและตัวเด็กเองเรียกเขาติดปากว่าครู และเรียกเพิงหลังนั้นว่าโรงเรียน ที่สำคัญ..เขาเป็นครูทีครูหล่อที่สุด และใจดีที่สุดในโรงเรียนอย่างที่น้องเล็กบอกไว้จริง ๆ เนื่องจากเขาเป็น "ครู"เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีอยู่ใน"โรงเรียนเพิงหมาแหงน"หลังนี้..

"ผมกับน้องเล็กโตมากับพ่อน่ะ..ไอ้ลำพังผมไม่เป็นไรหรอกเพราะเป็นผู้ชาย พ่อจะเลี้ยงแบบปล่อย ๆ บ้างก็โตได้ด้วยตัวเอง ไม่มีปัญหา แต่ยายเล็กแกเป็นเด็กผู้หญิง ก็..คงมีบางเวลาที่จะอยากจะทำอะไร ๆ แบบที่ผู้หญิงเขาทำกันบ้าง แกถึงติดคุณแจแบบนี้ไง.."

ประโยคบอกเล่าของเขาเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจหล่อน

"แล้ว..คุณล่ะ.."

"คะ....."

"คุณไม่ไปเรียนเหรอ ผมเดาเอาว่า คุณคงยังเรียนไม่จบ"

"ฉัน..ดร็อปไว้น่ะค่ะ เหลืออีกปีนึงก็จะจบแล้ว" บูชิตาทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าสีครามเบื้องหน้า เกลียวคลื่นสีขาวซัดสาดเข้ามายังหาดทรายอย่างอ่อนโยน ลูกแล้วลูกเล่า..

"แล้วทำไมคุณถึงได้พักเรียนไว้ล่ะ อีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้วนี่"

"เผอิญฉัน..มีเรื่องที่จะต้องตัดสินใจให้ได้ซะก่อนน่ะ" หล่อนก้มลงมองเม็ดทรายที่ปลายเท้า และนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้ว่า..ยังมีอีกหลายเรื่องที่หญิงสาวไม่อยากพูด

"งั้นก็..คงเหมือน ๆ ผมล่ะมั๊ง ผมก็มีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจเยอะเหมือนกัน"

"ฉันก็แค่..กำลังกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่กำลังเจออยู่น่ะ"

ชายหนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมามองหน้าหล่อน "..แต่ปัญหาทุกปัญหามันก็มักจะมาพร้อมคำตอบเสมอนะ คุณรู้ใช่มั้ย"

.............

"พี่บูคะ..พี่บู...พี่ชายให้มาชวนพี่บูไปเดินเที่ยวค่า"

บูชิตายิ้มรับคำชวนของเด็กน้อย ซึ่งหมั่นแวะเวียนมาชวนไปทำโน่นทำนี่ด้วยกันอยู่บ่อย ๆ เกือบสองอาทิตย์แล้วสินะ ที่หล่อนใช้เวลาอยู่ที่บังกะโลหลัีงนี้

"วันนี้จะไปไหนกันดีล่ะ"

"ไปตรงชายหาดแถวโน้นแน่ะค่ะ ตรงนั้นมีเปลือกหอยเยอะเลยล่ะ หนูเตรียมกระป๋องไว้แล้ว นี่งายยย.." น้องเล็กชูกระป๋องสีสันแสบตาให้ดูพลางยิ้มเห็นฟันซี่เล็ก ๆ เรียงเป็นแถว..ไม่ถึงสิบนาทีถัดมา บูชิตาจึงได้มาเดินเคียงข้างเขา..โดยมีเด็กหญิงซอยเท้ายิบ ๆ นำไปข้างหน้า

"วันนี้ทะเลสวยจัง ฉันนึกไม่ออกเลย ว่าคนมองข้ามทะเลที่นี่ไปได้ยังไง ในเมื่อมันสวยแบบนี้"

"ผมดีใจที่อย่างน้อยมันก็สวยพอทำให้คุณยิ้มออก.." คนที่เดินเคียงข้างหันมายิ้ม

"ฉันเพิ่งนึกออกค่ะ ว่าบางทีการปล่อยวางและความว่างเปล่าก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน" บูชิตายิ้มตอบ

"พี่ชายคะ..แล้วถ้าพรุ่งนี้คุณพ่อมา เราจะออกมาเที่ยวข้างนอกกันได้ัอีกรึเปล่า" เด็กหญิงหันหลังวิ่งซอยเท้ากลับมาถาม

"ได้สิ..แต่วันนี้คงต้องรีบกลับก่อนเย็นนะ เพราะพี่จะกลับไปโกนหนวด" ชายหนุ่มหัวเราะพลางยกมือขึนลูบหนวดตัวเองแบบเสียดายเล็กน้อย

"อ้าว..ทำไมล่ะคะ"

"คือ..พ่อผมไม่ค่อยชอบน่ะ ท่านบอกว่าเราทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการและความไว้วางใจของคน แขกเหรื่อเห็นเข้าเขาคงรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไหร่"

บูชิตาหัวเราะ "..ให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ"

อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้บูชิตาหลุดปากออกไป อาจจะเป็นเพราะความอยากตอบแทนความมีน้ำใจของเขาบ้างกระมัง ดังนั้นเมื่อบ่ายแก่ ๆ มาถึง หล่อนจึงต้องมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อถือมีดโกนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ต่อหน้าเขา

"แน่ใจเหรอเนี่ย.." ชายหนุ่มดูแหยง ๆ แต่ก็นั่นล่ะนะที่ทำให้บูชิตานึกขำขึ้นมาซะล่ะมากกว่า

"ก็ลองดูค่ะ" บูชิตาตัดสินใจในนาทีนั้น เป็นไงเป็นกันสิน่า แต่เพราะความไม่เคยทำมาก่อนล่ะกระมัง ที่สุดเขาก็ได้แผลแรกจนได้

"โอ้ย.."

"อุ๊ย.." เกือบจะพร้อมกันกับที่เขาร้อง บูชิตาทิ้งมีดโกนลงกับพื้นแทบจะทันทีที่เห็นเลือดซึมออกมาจากแผลเล็กบาดเล็ก ๆ เหนือริมฝีปาก.."..ขะ..ขอโทษนะคะ เจ็บมากมั้ยเนี่ย.." หล่อนรีบลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาซับเลือดให้ หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาคมเข้าที่มองอยู่ ก็ทำเอาเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยซะอย่างนั้น

"เอ้อ..ฉัน..ฉันคงโกนหนวดไม่เก่งจริง ๆ น่ะค่ะ คุณ..คุณทำต่อเองได้ใช่มั้ย" หล่อนเสวางผ้าขนหนูลงบนโต๊ะใกล้ ๆ พลางหยิบโน่นหยิบนี่แก้เขิน รอจนกระทั่งเขาลุกขึ้นแล้วหยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นกับการโกนหนวดหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วนั่นล่ะ จึงหยุดอาการลุกลี้ลุกลนแบบไม่มีสาเหตุนั้นได้

ใจสั่น..บูชิตาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ..บ้าไปแล้วยัยบู..นี่หล่อนกำลังรู้สึกแบบไหนอยู่เนี่ย

"เย้ ๆ ๆ..พี่ชายหล่อเหมือนเก่าแล้ว " เสียงหนูเล็กหัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างดีใจ เมื่อชายหนุ่มกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาอีกหน

บูชิตาหันไปมองหน้าเขา หัวใจกระตุกวูบกับคนที่ยืนมองตอบกลับมาด้วยแววตายิ้มระยับ

"คงจะจำกันได้นะครับ แผลที่ฝากไว้ตรงนี้ยังอยู่เลย ไม่ใช่ตัวปลอมแน่นอนรับรองได้"

ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าจริงจังเหมือนเพื่อนคนเดิมที่บูชิตารู้จัก และนั่นก็ทำให้หญิงสาวลดอาการประหม่าลงได้อักโข

"แหม..เสียดายฝากไว้แผลเดียว ถ้าฝากไว้สักสองแผลน่าจะจำได้แม่นกว่านี้นะคะ" หล่อนเย้าเขาตอบ เล่นเอาคนฟังจุดยิ้มกว้างแล้วก็หัวเราะออกมาในที่สุด

"ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ มืดแล้ว"

"เดี๋ยวผมไปส่ง"

"หนูไปด้วย" น้องเล็กแทรกขึ้นมาอีกคน แต่ผู้เป็นพี่ชายกลับยื่นมือไปโคลงหัวเจ้าตัวเล็กเบา ๆ "..อย่าเลย มืดแล้ว พี่ไปคนเดียวก็พอ..พรุ่งนี้ค่อยไปชวนพี่บูไปเที่ยวกันอีก"

เด็กหญิงทำหน้าคว่ำไม่ชอบใจนัก แต่ก็ยอมพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี "..งั้นพรุ่งนี้คุณพ่อมาแล้ว เราออกไปเที่่ยวเกาะเหนือกันได้มั้ยคะ"

"ได้ ๆ "คำตอบรับของพี่ชายทำเอาผู้เป็นน้องยิ้มออก แล้วจึงหันไปสนใจการ์ตูนในทีวีต่อ

"แกน่ารักดีนะคะ" บูชิตาชวนคุยเมื่อเดินออกมาจากบ้านพักเขาแล้ว "..ฉันเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ถ้ามีน้องสักคน..บางทีอาจจะรู้สึกอบอุ่นกว่านี้..แต่ก็นั่นแหละค่ะ อย่างน้อยฉันก็ดีใจที่ฉันเลือกมาที่นี่ คุณรู้มั้ย..บางครั้งฉันก็นึกภาวนาให้เวลามันหยุดลงตรงนี้ ไม่มีตอนต่อไปไม่มีตอนที่แล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเวลาที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้"

"แต่มันก็เป็นไปไม่ได้.." ชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "..ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ตลอดไปหรอกครับ บางอย่างเมื่อมันผ่านเข้ามา มันก็จะผ่านออกไป ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์"

"คุณกำลังจะบอกอะไรฉันรึเปล่าคะ"

"ผมว่าบางทีการหนีก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ยิ่งเรากล้าหาญที่จะเผชิญหน้ามันได้ไวเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งผ่านเราไปได้ไวเท่านั้น.."

บูชิตาสบสายตาอบอุ่นที่ทอทอดกลับมาในแสงสลัว "..ไม่มีใครหนีอะไรได้ตลอดชีวิตหรอกครับ ชีวิตคนเรามันต้องเดินไปข้างหน้าเสมอ และบางครั้ง...เราก็ไม่ได้สู้อยู่คนเดียวอย่างที่เราคิด.."

.............

เสียงหวูดของรถไฟสายใต้ที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือดังก้องขึ้น..เมื่อเจ้ารถรางเหล็กเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาช้า ๆ..บูชิตานั่งอิงศรีษะซบลงกับของหน้าต่าง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนจะกอบเก็บกำลังใจและความทรงจำที่นี่ไว้ในส่วนลึก..ลมเย็น ๆ ที่หอบกลิ่นอายของทะเลพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานหนึ่งและผ่านออกไปจากหน้าต่างอีกบานอย่างรวดเร็ว หากแต่หญิงสาวก็รู้ดีว่า ไม่ว่าปัญหาที่หล่อนกำลังจะกลับไปเผชิญหน้าจะหนักหนาสาหัจเพียงไร แต่สักวันหล่อนก็จะกลับมาที่นี่ได้เสมอ...และหล่อนก็รอเวลาที่จะได้กลับมาพบเจอกับเจ้าของดวงตาอบอุ่นอ่อนโยนคู่นั้นอีกครั้ง..





เรื่อง : พัชราวลัย
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต















ความคิดเห็น | | Read More...

ดูหน้าเว็บรวม

Popular posts

 
Design Template by panjz-online | Support by creating website | Powered by Blogger